ว่าวตัวแรกบนท้องฟ้า


น้ำเดือดแล้ว!
ฉันตักกาแฟช้อน น้ำตาลทรายแดงช้อน
รินน้ำร้อนตามลงไปในแก้วใบจิ๋ว ใช้ช้อนคน
เสียงสดใสของช้อนกระทบแก้วเคลือบดินเผา
เรียกความรู้สึกแจ่มใสกลับคืนจากยามบ่ายที่งัวเงีย

ฉันถือแก้วเดินออกมาที่ระเบียง

คู่นกเขาเพื่อนบ้านโผลงมาจิกกินอะไรบางอย่างบนพื้นดิน
ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านที่น่ารักปลุกฉันทุกเช้าด้วยเสียงร้องรับกันไปมา

ลมเย็นจัดพัดรุนแรงมาแต่ปลายปีที่แล้ว
พัดแรงข้ามปีจนล่วงเข้าเดือนกุมภาฯ จึงค่อย ๆ สงบลง
คล้ายเป็นสัญญาณบอกว่าวันเวลารุนแรงร้ายกาจของธรรมชาติได้ผ่านไปอีกรอบ

แทบไม่น่าเชื่อ!

ฉันผ่านมาได้อย่างไรกัน?
พายุลมที่แรงจัด พัดแต่ละครั้งกระท่อมโยกไปมาจะล้มแหล่มิล้มแหล่
หลายครั้งมาตอนค่ำคืนดึกดื่น
ฉันต้องรีบมุดออกจากมุ้งลงไปนั่งหลบลมด้วยเกรงกระท่อมจะล้ม!
ลมรึก็เย็นจัดจนหากตากนาน ๆ ถึงกับมีน้ำมูก คัดจมูก

ช่วงเวลานั้นได้แต่มองพวกเพื่อนบ้าน
พวกมันแค่อาศัยคบไม้ปลายตาลเป็นเรือน

ธรรมชาติกระหน่ำโบยตีชีวิตด้วยหวังให้ชีวิตอดทน
และรับรู้ความเป็นจริงถึงการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียน
มีลมแรงที่ดุร้าย มีสายลมเอื่อยเย็นสบาย และลมนิ่งที่ร้อนอบอ้าว
หมุนเวียนเช่นนี้เป็นปกติ
ธรรมชาติจะคัดกรองชีวิต มีแต่ชีวิตที่เข้มแข็งอดทนจึงสามารถดำรงอยู่

ฉันผ่านมาอย่างสะบักสะบอม

สายลมยามบ่ายพัดเอื่อยอ่อน
ฉันนั่งมองเพื่อนนกเขาที่ผ่านเวลาโหดร้ายมาด้วยกัน
พวกมันอึดจริง ๆ
ฉันยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มให้พวกมัน แล้วยิ้ม

ลุงจิตกับลูกเดินเลาะคันนามา
ในมือมีว่าวนกตัวใหญ่
อา…ได้เวลาของ ‘ลมว่าว’ แล้วสินะ!

ลุงจิตโบกมือให้ ฉันยกแก้วกาแฟขึ้นรับ
เจ้าเขียวลูกลุงจิตพาว่าวเดินห่างออกไป
ลุงจิตส่งเสียง “พอ” เจ้าเขียวหันกลับมากระชับว่าวในมือตั้งขึ้น
ลุงจิตดึงเชือกตึง เจ้าเขียวปล่อยว่าว

ว่าวทะยานขึ้นควงซ้ายทีขวาทีเป็นวงกว้าง
จากนั้นวนปักลงพื้น เจ้าเขียวรีบวิ่งไปดู

หลังจากพ้นวัยเด็กฉันไม่เคยประกอบว่าวของตัวเองอีกเลย
ฉันคิดว่าเสียเวลา ซ้ำยังมายืนแหงนมองชักไปมาไม่เห็นจะได้อะไร

นั่งมองเจ้าเขียว นั่นมันฉันนี่นา!
ฉันลืมวันเวลานี้ไปนานเท่าไรแล้ว?
ลืมแรงตึงมือที่ว่าวเคยส่งผ่านเส้นเชือกได้อย่างไร?
อะไรทำให้ฉันมองเห็นการทำว่าว ส่งว่าวขึ้นท้องฟ้าเป็นเรื่องเสียเวลา?

หากเปลี่ยนฉันเป็นลุงจิตฉันจะเอาเวลาทั้งวันมานั่งทำว่าวให้ลูกไหม?
คงไม่!

ซื้อให้เห็นจะง่ายกว่า
ได้ว่าวมาก็ส่งขึ้นฟ้าได้เลย

ลูกของฉันก็คงรับว่าวไปด้วยความดีใจและรับรู้เพียงว่าพ่อซื้อว่าวให้

ต่างกับเจ้าเขียวที่ต้องติดตามพ่อไปหาไผ่หนุ่มที่เหนียวดัดง่าย
กว่าจะนำมาตัดมาเหลาเตรียมโครงสร้างแต่ละชิ้น
เจ้าเขียวต้องเรียนรู้วิธีการเหลาไผ่ให้อ่อนจนดัดเป็นรูปปีกนก
ทั้งยังต้องเหลาให้น้ำหนักทั้งสองข้างเท่ากัน
เรียนรู้การหาใบลานมาขูดจนบางประกอบเข้ากับโครงไผ่ที่คล้ายคันธนูเพื่อทำแอก
เรียนรู้การตัดกระดาษแก้วตกแต่งให้เป็นว่าวนกที่สวยงาม
การปรับแต่งเชือกที่ผูกกับตัวว่าว เพื่อให้ว่าวรับลมในตำแหน่งเหมาะสม
จนถึงการส่งว่าวขึ้นท้องฟ้าและวิธีสาวเชือกเก็บว่าวที่ไม่ทำให้ว่าวกระแทกพื้นเสียหาย

เจ้าเขียวได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากพ่อ
และจะสอนสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกตัวเองต่อไป

สองคนพ่อลูกปลุกปล้ำกับว่าวอยู่พักใหญ่
สุดท้ายก็ส่งว่าวขึ้นไปฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้าสำเร็จ
เจ้าเขียวคงภาคภูมิใจในตัวพ่อไม่น้อยที่สามารถแก้ปัญหาจนส่งว่าวขึ้นฟ้าได้

เสียงแอก*ดังแว่วมา ลุงจิตกระตุกเชือกสองสามครั้งแล้วส่งให้เจ้าเขียว
เจ้าเขียวรับเชือกมาลองกระตุก ว่าวยักซ้ายย้ายขวาตามแรงตึงเชือก
เจ้าเขียวหัวเราะชอบใจ ลุงจิตหันมาโบกมือให้ฉัน
ฉันยกแก้วกาแฟตอบ แล้วดื่มให้แก

ดื่มให้ว่าวตัวแรกของฤดูกาลแห่งลมว่าว
ว่าวที่สืบทอดวิถีชนบทไทยไม่ให้สูญหาย
วิถีที่ผู้เยาว์ให้ความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่
หาใช่ด้วยคำสั่ง หากแต่เป็นด้วยกตัญญู

….

ธุลีดิน

* แอก คือ โครงไม้ไผ่โค้งคล้ายคันธนู ขึงตึงด้วยใบลานหรือริบบิ้นเพื่อสวมตรงส่วนหัวของว่าวนกและว่าวควาย เมื่อลมผ่านจะเกิดเสียงดัง
Picture : www.childthai.org