ไอ้เตี้ย



๑.

เสียงบัตตาเลี่ยนครางหึ่งเหมือนเสียงปีศาจ
ฉันนั่งมองลุงคล้อย ช่างตัดผมประจำหมู่บ้านกำลังประจง
เคลื่อนมือขึ้นลงไปบนศีรษะลูกค้าอย่างใจเย็น
ฉันมองด้วยความหงุดหงิด รู้ว่าไม่สามารถเร่งแกได้แต่ให้ตายเถอะ!

“เร็วสิลุง ช่วยดูมันหน่อย!”

ลุงคล้อยหันมองแวบหนึ่งแล้วไถบัตตาเลี่ยนต่อ

“เออ…อีกหน่อยเดียวก็เสร็จแล้ว”


ฉันร้อนใจมือไม้สั่นไม่รู้จะทำอย่างไร
ลุงจิตบอกว่าละแวกนี้มีลุงคล้อยคนเดียวที่ชำนาญ แกน่าจะช่วยได้
แต่ดูเหมือนแกจะกำลังทำหน้าที่ช่างตัดผมด้วยความรับผิดชอบสุดชีวิตไม่ยอมละทิ้งกลางคัน
ฉันในยามว้าวุ่นใจแทบกระโจนไปลากแกออกมาจากศีรษะลูกค้า

ทำได้แต่รุ่มร้อนอยู่เช่นนั้น
มองไอ้เตี้ยคอพับคออ่อนอยู่บนตัก
ใต้ขนยาวที่ลื่นมือตัวมันยังอุ่น…มือฉันสั่น

๒.

ฉันอยากได้ไก่เตี้ยไว้ที่กระท่อม คิดเล่น ๆ ว่าคงเพลินดี
หากมีไก่สวย ๆ เดินจิกโน่นจิกนี้รอบ ๆ กระท่อม
ไก่เตี้ยคล้ายไก่แจ้แต่ตัวเล็กกว่าเตี้ยกว่า ขามันสั้นนิดเดียว
หงอนใหญ่หางโค้งงอนยาวลงระพื้น สีสดสวย

หลังฉันเอ่ยปากไม่นานก็ได้ไก่เตี้ยจากเพื่อนมาคู่หนึ่ง
ไก่ถูกส่งเดินทางไกลข้ามฟากจากฝั่งอันดามันมายังอ่าวไทย
ตอนที่ได้รับลังกระดาษ ฉันรีบเปิดออกด้วยความห่วงใย
หลายชั่วโมงที่พวกมันไม่ได้กินอะไรทั้งยังอยู่ในลังใบเล็กที่ขยับตัวแทบไม่ได้

ข้างในมีไก่เตี้ยสองตัว ตัวผู้สีดำสลับแดงตัวเมียสีขาว ตัวเมียซุกหัวอยู่ใต้ปีกตัวผู้
ฉันจัดแจงที่พักให้พวกมันอยู่ข้างกระท่อม

เรียกมันว่าไอ้เตี้ยกับนังเตี้ย

๓.

จากวันนั้นฉันก็มีอีกหนึ่งครอบครัวอาศัยร่วมชายคา
ทุกเช้าไอ้เตี้ยขันตอนตีสี่กว่า ๆ ปลุกฉันตื่นเพื่อจะหลับต่อ
แต่แปลกแทนที่ฉันจะรำคาญ กลับรู้สึกเพียงว่า อา…ไอ้เตี้ยตื่นแล้ว
ฉันลืมตาตื่นอีกทีตอนฟ้าสาง พบว่ามันทั้งคู่ออกเดินจิกโน่นจิกนี่อยู่รอบ ๆ กระท่อม

ฉันโยนข้าวสุกบ้างข้าวสารบ้างให้มันกิน
ด้วยความที่ไม่รู้ คิดว่าไก่คงชอบกินข้าวเปลือก ฉันหาข้าวเปลือกมาให้พวกมัน
ลุงจิตผ่านมาเห็นเข้าบอกว่าให้ข้าวสารน่ะดีแล้ว ข้าวเปลือกไม่ดีกับพวกมัน
ฉันฟังแล้วยังงง ๆ เพราะคุ้นหูมาแต่ไหนแต่ไรว่าไก่กินข้าวเปลือก แต่ก็ต้องเชื่อแกไว้ก่อน
เพราะนั่นเป็นความเห็นของนักเลงไก่ชนตัวกลั่น

ไอ้เตี้ยกับภรรยาหากินอยู่ข้างกันตลอดเวลา
ดูเหมือนว่าภรรยาจะรักมันมาก นังเตี้ยจะเดินตามต้อย ๆ ไม่ว่าไอ้เตี้ยจะเหยาะย่างไปทางไหน
ฉันชอบนั่งดูพวกมัน นาน ๆ ไอ้เตี้ยก็จะแสดงความรักกระโดดขี่นังเตี้ยสักที
พวกมันกลับขึ้นคอนตอนฟ้าโพล้เพล้
นังเตี้ยจะสอดหัวเข้าใต้ปีกสามีเหมือนกับตอนที่ฉันพบพวกมันครั้งแรก
แล้วหลับอยู่ในท่านั้นทั้งคืน (ข้อนี้ฉันเดา เพราะหลายครั้งที่ส่องไฟฉายดูพวกมันตอนดื่นดึก
ก็ยังเห็นพวกมันอยู่ในท่าเดิม)

ผ่านวันคืนไอ้เตี้ยสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ขนเป็นมันยาวระพื้น
หงอนที่เคยเล็ก ค่อย ๆ แผ่กว้างสีแดงสด มันตัวเตี้ยติดดินแต่ดูสง่าอย่างไม่น่าเชื่อ
มีภรรยาขนสีขาวที่คอยเดินตามต้อย ๆ ด้วยความรักภักดี
พวกมันเข้านอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลา เป็นชีวิตคู่ที่ฉันนั่งมองด้วยความอิจฉา

๔.

ไม่นานนังเตี้ยเริ่มหายไปปล่อยไอ้เตี้ยเดินจิกโน่นจิกนี่อยู่ตัวเดียว
ฉันสงสัยออกไปตามหาได้ยินเสียงร้องต๊อก ๆ ของนังเตี้ยดังถี่กระชั้นจึงรีบไปดู
นังเตี้ยสาละวนเดินไปเดินมาร้องต๊อก ๆ ไม่ได้สนใจไอ้เตี้ยเหมือนก่อน
อาหารก็ไม่แตะฉันสงสัยมันเป็นอะไร
ถามลุงจิต
ลุงจิตบอกว่ามันกำลังจะวางไข่
ฉันตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้พบไก่วางไข่
ครอบครัวไอ้เตี้ยกำลังจะมีสมาชิกใหม่
ฉันกำลังจะมีลูกเจี๊ยบเล็ก ๆ เดินจิกโน่นจิกนี่รอบ ๆ กระท่อม แค่คิดฉันก็ยิ้มกริ่ม

โดยคำแนะนำของเกจินักเลงไก่ชน ฉันหาหญ้าแห้งมาปูในกะละมังพลาสติก
เอานังเตี้ยลงไปนั่ง

ฉันหมั่นไปดูนังเตี้ยบ่อย ๆ ส่วนไอ้เตี้ยเอาแต่เดินหาอาหารไม่สนใจภรรยาที่กำลังจะคลอดลูก
ไม่นานก็มีไข่ฟองแรกออกมา
ฉันมองด้วยความอัศจรรย์ใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันรับความรู้สึกว่าไข่เป็นสิ่งมีชีวิต
บางครั้งเห็นนังเตี้ยหายไปสักพักก็กลับมานั่งในกะละมังฟางหญ้าใหม่
มันไข่ออกมาเรื่อย ๆ น่าจะประมาณห้าฟอง

หลังจากนั้นนังเตี้ยไม่ยอมลุกจากกะละมังอีกเลย
ลูงจิตบอกว่ามันกำลังฟักไข่


ฉันมองมันด้วยความกังวล หลายวันแล้วที่มันไม่กินข้าวกินน้ำนั่งอยู่อย่างนั้นไม่กระดิกกระเดี้ย
ฉันได้แต่ให้กำลังใจ ส่วนไอ้เตี้ยเช่นเดิมเอาแต่เดินจิกโน่นจิกนี่ ไม่เคยแวะเยี่ยมเมีย
แม้สักแวบ ค่ำลงก็กลับขึ้นเกาะคอน

หลายวันผ่านไป
ฉันแวะดูตอนเช้า…ใจหาย!

มีตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่แล้วสองตัว แต่ตายทั้งคู่
มดคันไฟรุมกัดกินจนลูกตามันหายไป
ไม่รู้นังเตี้ยจะรู้หรือไม่ว่าลูกของมันตายแล้ว
มันยังคงนั่งฟักไข่ที่เหลือ
ฉันเจ็บใจตัวเองที่ลืมคิดถึงพวกมด เพราะละแวกที่ฉันอาศัยเต็มไปด้วยมดทุกชนิด
ไม่ทราบว่าตัวอ่อนตายเพราะมดหรือตายก่อนแล้วมดจึงขึ้น
ฉันนำกะละมังฟางหญ้าของนังเตี้ยหล่อน้ำไว้ในกะละมังใบใหญ่กว่า
อย่างน้อยยังมีความหวังกับไข่ที่เหลือ

นังเตี้ยนั่งฟักไข่โดยไม่แตะต้องอาหารอยู่หลายวัน
จนเช้าวันหนึ่งฉันเห็นมันเดินอยู่ข้าง ๆ ไอ้เตี้ยอย่างเดิมคิดว่ามันคงฟักเสร็จแล้วรีบไปดูที่กะละมัง
ปรากฏไข่ทั้งสามฟองยังคงสมบูรณ์

ถามลุงจิตลุงจิตบอกว่าครบกำหนดเวลาฟักของมันแล้วถ้ายังฟักไม่ออกมันก็เลิก
ฉันได้แต่ผิดหวังลุงจิตบอกให้เอาไข่ไปทอดกิน
ฉันทำใจกินไม่ลงบอกยกให้ลุงจิตไป

ฉันมองทั้งคู่เดินจิกอาหารอยู่ข้าง ๆ กัน
ดูเหมือนพวกมันจะไม่รู้สึกรู้สา
ทุกอย่างที่กระทำคงทำไปตามสัญชาตญาณ
ฉันสิที่เสียใจความหวังที่จะเห็นลูก ๆ ของพวกมันเป็นอันต้องเลื่อนไป
โดยที่ฉันในยามนั้นไม่รู้เลยว่าเป็นหวังที่ไม่มีวันมาถึง

๕.

วันนั้นฉันกลับมาจากข้างนอกเห็นนังเตี้ยเดินอยู่ตัวเดียว
ฉันมองหาไอ้เตี้ยแต่ไม่เห็นจึงทำเสียงเรียกก๊อก ๆ
เป็นเสียงที่ใช้เรียกพวกมันมากินข้าวสารที่โปรยให้
มีแต่นังเตี้ยที่ถลาเข้ามา
ฉันออกเดินหา
พบไอ้เตี้ยที่ไม่ใช่ไอ้เตี้ยกองอยู่ในพงหญ้าริมรั้ว
ที่ว่าไม่ใช่ไอ้เตี้ยเพราะไอ้เตี้ยตอนนี้ไม่มีสภาพเดิมหลงเหลือ
ขนที่เคยเรียบเป็นมันขลับกลับยับเยิน
ดวงตาบวมจนปิดทั้งสองข้าง
หงอนที่เคยแดงสดกลายเป็นสีน้ำตาลช้ำเลือดช้ำหนอง
ไอ้เตี้ยอยู่ในสภาพงอมพระรามล่อแล่เจียนอยู่เจียนตาย
ฉันรีบพามันไปหาลุงจิต

ลุงจิตบอกว่า “สงสัยมันชนกับไก่ชนบ้านผู้ใหญ่”

ถัดจากรั้วกระท่อมเป็นเขตบ้านผู้ใหญ่ชอบ
ผู้ใหญ่เลี้ยงไก่ชนไว้หลายตัวแต่ปล่อยให้มันออกหาอาหารเอง
ไม่ได้ประคบประงมเหมือนไก่ชนทั่วไป
บ่อยครั้งที่พวกมันเลาะริมรั้วเข้ามาหากินแถว ๆ กระท่อม
ไอ้เตี้ยเจอเข้าคงต่อสู้ไม่ยอมหนี
ลุงจิตบอกว่าหากมันสู้ไม่ได้แล้ววิ่งหนีก็จะไม่สะบักสะบอมเช่นนี้
นี่มันคงสู้สุดฤทธิ์ แต่เมื่อเทียบขนาดตัวกันแล้วไอ้เตี้ยก็ไม่ต่างจาก
เด็กเล็ก ๆ ชกต่อยกับผู้ใหญ่ประตูชนะถูกปิดตาย
มีก็แต่หัวใจนักสู้ของมัน

ฉันไม่อาจทนดูสภาพไอ้เตี้ยในยามนั้น
ด้วยคิดว่ามันไม่รอดแน่แล้ว

ฉันฝากไว้ให้ลุงจิตช่วยรักษา
หากไม่รอดก็แล้วไป
กลับมาที่กระท่อมเห็นนังเตี้ยเดินจิกอาหารอยู่ตัวเดียวก็ให้นึกสงสาร
มันสองตัวไม่เคยห่างกันทั้งกลางวันกลางคืน
ฉันเองก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป

สองสามวันต่อมา
ลุงจิตเอาไอ้เตี้ยมาส่ง
มันยังไม่ตาย
แต่สภาพโดยรวมยังสะบักสะบอม
หงอนยังเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนองอย่างน่ากลัว
ลุงจิตบอกว่า “สักพักมันก็ฟื้น”

สักพักของลุงจิตกินเวลาร่วมเดือน
ไอ้เตี้ยฟื้นตัวขึ้นช้า ๆ ฉันเพิ่งได้เรียนรุ้ว่า
หงอนของไก่เป็นเครื่องบ่งบอกสุขภาพของมัน
หงอนไอ้เตี้ยค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงตามวันเวลาที่มันค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น
กระทั่งกลับเป็นสีแดงสดดังเดิม
ขนกลับมาดกยาวเป็นมัน งามสง่าเป็นไอ้เตี้ยตัวเดิมอีกครั้ง

ไอ้เตี้ยกลับมาขันทุกเช้าตอนตีสี่
เดินจิกอาหารไปรอบ ๆ กระท่อมโดยมีนางเตี้ยภรรยาผู้ซื้อสัตย์เดินตามต้อย ๆ
นาน ๆ ไอ้เตี้ยก็จะกระโดดขึ้นขี่หลังนังเตี้ยสักครั้ง
ค่ำลงทั้งสองเกาะคอนอิงชิดกัน
นังเตี้ยสอดหัวเข้าใต้ปีกไอ้เตี้ยแล้วทั้งคู่ก็หลับในท่านั้น

๖.

ความสุข..คืนวันที่ดี..
คงเป็นเช่นสายลมชนิดหนึ่งซึ่งพัดผ่านชีวิตเราเป็นระยะ
พอได้บรรเทาไอร้อนสักครู่ยามจากนั้นก็พัดผ่านไปชีวิตครอบครัวเพื่อนบ้านของฉันผ่านคืนวันเงียบงาม
ที่อบอวลไปด้วยความสุขสงบ
ทั้งสองไม่เคยทะเลาะกัน กิจวัตรหมุนเวียนไปตามแสงตะวัน
อย่างตรงไปตรงมาและตรงเวลา

ทุกบ่ายฉันจะถือแก้วกาแฟออกมานั่งที่ระเบียง
ผู้เฒ่าโพธิ์ทะเลแผ่ก้านใบบดไอแดดแต่ไม่บังสายลม
หนังสือหนึ่งเล่ม..กาแฟหนึ่งแก้ว..กับร่มเงาไม้ยามบ่าย
เป็นช่วงเวลาดีช่วงหนึ่งของวัน..

ฉันนั่งมองไก่เตี้ยสองตัวเดินเวียนวนคุ้ยเขี่ยพื้นดิน
ตัวเดินนำขนสีแดงดำเงางามเป็นมันดกระพื้นจนมองไม่เห็นขา
ขนหางงอนโค้งงอน หงอนใหญ่สีแดงสดโดดเด่น
อีกตัวสีขาวปลอดตามต้อย ๆ อยู่ไม่ห่าง

ฉันคิดถึงชีวิตคู่

จะสุขเพียงไรหากมีชีวิตคู่ที่อยู่ใกล้กันตลอดเวลา
ผ่านคืนวันเรียบง่ายไปด้วยกันจนแก่เฒ่า
หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีง่าย ๆ กินน้อยใช้น้อย
อยู่กับเวลาปัจจุบันอย่างทั้งสอง
ไม่ต้องเร่งหาเร่งเก็บวิตกกังวลกับอนาคตที่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีอยู่จริง
จนทอดทิ้งปัจจุบัน

ฉันนั่งอมยิ้มมองทั้งสอง
คิดขึ้นได้…ลุกขึ้นไปเอาข้าวสารโยนให้พวกมันจิก

วันเวลาที่ดีคงเป็นเช่นสายลม
แล้ววันหนึ่งสายลมแห่งความสุขก็พัดพ้นผ่าน

เย็นวันนั้น..ฉันกลับมาจากข้างนอก
เห็นไอ้เตี้ยเกาะคอนคอตก
ทีแรกคิดว่าถูกไก่ชนผู้ใหญ่ตีอีก
ฉันอุ้มมันขึ้นมาดู ขนยังเงาวาว
ที่คอมีก้อนกลมใหญ่จนน่ากลัวเหมือนมันกินอะไรเข้าไปแล้วติดคอ
ฉันรีบเอาไปให้ลุงจิตดู ลุงจิตคลำแล้วทำหน้างงงวย ดูเหมือนว่าแกเองก็ไม่รู้สาเหตุ
ลุงจิตแนะให้พาไปหาลุงคล้อย


๗.

ฉันนั่งอุ้มไอ้เตี้ยที่ตาปรือเหมือนกำลังจะสิ้นใจ
มองลุงคล้อยผู้เชี่ยวชาญในการรักษาไก่ที่อาชีพหลักคือช่างตัดผมประจำหมู่บ้าน
มีลูกค้ารับบริการอยู่ ฉันบอกลุงคล้อยช่วยดูไก่ให้หน่อย แกขานรับเสียงเออ..ออ..
แล้วตั้งหน้าตั้งตาตัดผมลูกค้าต่อ

ฉันได้แต่นั่งกระสับกระส่าย..ตัวสั่น..มือสั่น..
ชีวิตไอ้เตี้ยกำลังแขวนบนเส้นด้าย
แต่คนเดียวที่หวังว่าจะช่วยมันได้กลับเห็นเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ

เสียงปัตตาเลี่ยนครางหึ่งเหมือนเสียงปีศาจ
ฉันนั่งมองลุงคล้อยประจงเคลื่อนมือขึ้นลงไปบนศีรษะลูกค้าอย่างใจเย็น
มองด้วยความหงุดหงิด รู้ว่าไม่สามารถเร่งแกได้แต่ให้ตายเถอะ!

“เร็วสิลุงช่วยดูมันหน่อย!”

ลุงคล้อยหันมองแวบหนึ่งแล้วไถปัตตาเลี่ยนต่อ

“เออ…อีกหน่อยเดียวก็เสร็จแล้ว”

ฉันร้อนใจไม่รู้จะทำอย่างไร
ลุงจิตบอกว่าละแวกนี้มีลุงคล้อยคนเดียวที่ชำนาญแกน่าจะช่วยได้
แต่ดูเหมือนแกจะกำลังทำหน้าที่ช่างตัดผมด้วยความรับผิดชอบสุดชีวิตไม่ยอมละทิ้งกลางคัน
ฉันในยามว้าวุ่นใจแทบกระโจนไปลากแกออกมาจากศีรษะลูกค้า

ทำได้แต่รุ่มร้อนอยู่เช่นนั้น
มองไอ้เตี้ยคอพับคออ่อนอยู่บนตัก
ใต้ขนยาวที่ลื่นมือตัวมันยังอุ่น…มือฉันสั่น

ลุงคล้อยไม่มีทีท่าใส่ใจที่ชีวิตหนึ่งกำลังหายใจรวยรินรอแกช่วยเหลือ
แกไม่แม้จะดูก่อนสักเล็กน้อย
สำหรับแกไก่ก็คือไก่
ไก่ไม่ใช่ไอ้เตี้ย
ไอ้เตี้ยมีตัวตนอยู่ก็กับฉันเท่านั้นเองกระมัง

ไอ้เตี้ยไม่ขยับตัวแล้ว..ตาหลับ..คอพับ..
ฉันไม่อาจทนดูไอ้เตี้ยตายอยู่บนตัก
หัวใจทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดไม่รู้จะทำเช่นไร
ฉันลูบขนมันแผ่วเบาแล้ววางมันลง บอกลุงคล้อยว่า

“เสร็จแล้วช่วยดูให้ทีนะลุง”

“เออ!”

๘.

ฉันจากมาในลักษณะนั้น
เจ็บใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลย

ย่ำค่ำฉันกลับไปบ้านลุงคล้อยอีกครั้ง
ลุงคล้อยบอกหน้าตาเฉย

“มันตายแล้ว”

หัวใจฉันหล่นวูบ

“ให้เด็กมันถอนขนต้มขมิ้นไว้ให้แล้วเดี๋ยวเอาไปได้เลย” แกสำทับ “ไก่เตี้ยเนื้ออร่อยนะ”

ฉันก้มหน้าส่ายหัวไม่พูดไม่จา..
โดยไม่ร่ำลา..ฉันเดินกลับกระท่อมด้วยความรู้สักย้อนแย้งยากระบาย

๙.

เวลายังคงทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง..
ใต้ร่มผู้เฒ่า..วันแล้ววันเล่าที่ฉันนั่งมองนังเตี้ยคุ้ยเขี่ยหาอาหารอยู่ตัวเดียว
ด้วยความสงสาร ฉันหาไก่เตี้ยตัวผู้มาให้
แต่นังเตี้ยไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย

ฉันรู้ว่ามันไม่มีความสุข

ทุกครั้งที่ตัวผู้ขึ้นขี่ นังเตี้ยจะร้องลั่น
และตัวผู้ก็ขึ้นขี่มันบ่อยจนเหมือนจิกอาหารสองสามครั้งขึ้นขี่ครั้ง
เสียงนังเตี้ยร้องลั่นอยู่เป็นระยะ
ค่ำคืนมันเกาะคอนเดียวกันแต่ห่างกันไกล

นั่นเป็นชีวิตคู่เช่นไร?

ภาพความสุขของครอบครัวไอ้เตี้ยเหลือเพียงความทรงจำ
ฉันไม่อาจสร้างมันขึ้นมาใหม่ ไม่อาจคาดหวังให้เป็นไปดังต้องการ

อาจบางที..

ความสุข..คืนวันที่ดี..คงเป็นเช่นสายลมชนิดหนึ่ง
ซึ่งพัดผ่านชีวิตเราเป็นระยะ..เป็นสายลมที่ไม่เคยพัดหวน

ฉันไม่อาจทนดูอีกต่อไป
จึงเอ่ยปากให้ไก่ทั้งคู่กับพวกเด็ก ๆ
ทั้งที่รู้ดีว่าปลายทางของพวกมันเป็นเช่นไร

...
Picture : www.pbase.com