ลมหายใจที่เหลือ


กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙

ฉันกำลังขับรถกลับ
เส้นทางก่อสร้างตัดผ่านที่ราบน้ำท่วมถึงทะเลน้อย
แสงอาทิตย์อัสดงลูบไล้ระลอกคลื่นในทะเลสาบเป็นประกาย
พื้นถนนดินลูกรังระเกะระกะ ต้องขับรถหลบไปมา
ฉันบังคับรถเคลื่อนไปข้างหน้าช้า ๆ
ลำแสงสนธยายังคงสว่างเจิดจ้า
แต่หนทางกลับแลราง..

…ดวงตาฉันพร่าพราย…

เปลี่ยวเหงา…
วังเวง…
ไม่มีใคร…
มิ่งมิตรร่วมดวงวิญญาณจากไปแล้ว…

ฉันมองไกลออกไป…

ห้วงสมองครุ่นคิดสับสน
ข้างหลังหนักอึ้ง มึนงง ยังไม่อยากยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
ข้างหน้า…ว่างเปล่า ไร้แก่นสาร

ฉันกำลังจะไปไหน? ทำอะไร?

คำถามดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ในห้วงคำนึง

ฉันเพิ่งอำลาควันไฟที่ละลายร่างผู้เป็นเหมือนหลักชัยแห่งจิตวิญญาณนักจารอักขระในโลกวรรณกรรม ผู้เสมือนนายพรานใหญ่กร้าวแกร่งที่เดินนำทางในป่าอักษรอันซับซ้อนกันดาร

เสียงร่ำร้องของจิตวิญญาณตะโกนก้องด้วยคำถาม “เมื่อไรฉันจะยอมเข้าใจเสียที?”

ทำไมฉันจึงยังไม่ยอมรับเสียทีว่า ชีวิตคือความว่างเปล่า ข้าวของเงินทอง บ้าน รถ เป็นความว่างเปล่า การทำงานหาเงินทอง เพื่อให้ได้จับจ่ายซื้อหาสิ่งที่ต้องการไม่จบสิ้นเป็นความสูญเปล่า การเป็นที่ยอมรับ ตัวตนในสังคมเป็นเพียงภาพลวงตา วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาล้มตัวลงนอนราบไม่สามารถรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ อีกต่อไป วันนั้นทุกอย่างก็สลาย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจ, ยินดี, อิ่มเอม, เศร้าโศก เมื่อถึงเวลาละโลกไม่มีอะไรหลงเหลือ ฉันก็เช่นกันเมื่อวันเวลาของฉันมาถึง ฉันก็ไม่ต่างจากฝุ่นดินปลิวหายไปในสายลม เหมือนฉันไม่เคยผ่านมาบนโลกสีน้ำเงินใบนี้

ตอนฉันจากมา ควันไฟเริ่มจางแล้ว

ควันไฟก็มีวันจางหาย แต่ท่านยังอยู่
อยู่ด้วยงานคิดงานเขียนที่ฝากไว้
อยู่ด้วยเหล่าต้นไม้อักษรที่ท่านบรรจงปักกล้ารดน้ำพรวนดินจนกลายเป็นป่าอักษรอันอุดม

ทุกชีวิตล้วนผ่านมาแล้วจากไป

ต่างกันเพียงเราใช้เวลาของชีวิตทำอะไร?
จะจากไปอย่างเปล่าดาย หรือทำอะไรสักอย่างฝากไว้บนโลกสวยงามใบนี้เพื่อบอกว่า ครั้งหนึ่งเราเคยผ่านทางมา

เสียงตะโกนก้องดังขึ้นในห้วงคำนึง
เป็นเสียงตะโกนของท่าน ท่านตะโกนบอก…ด้วยชีวิต

หนทางข้างหน้าพร่าเลือน
ฉันตัดสินใจปาดหยาดน้ำตา เหยียบคันเร่ง

สนธยาลับไปแล้ว…
ทิวทัศน์รายรอบพลันสูญหาย แสงไฟหน้ารถสาดส่องแค่ระยะสายตา หนทางข้างหน้ามืดมน

แต่ฉันจะมุ่งไป ไปปลูกต้นไม้อักษรเหมือนดังท่านได้กระทำ



กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

ฉันนั่งลงริมระเบียง
คิดทวนถึงช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่าน

ฉันละทิ้งค่านิยม ความโลภ ความฝัน
หันมาดูแลต้นกล้าด้วยความเอาใจใส่ ใช้ชีวิตอย่างเต็มชีวิต
ร่างกายกับจิตวิญญาณหาได้แยกกันอยู่อีกต่อไป

กล้าไม้อักษรของฉันยังเยาว์นัก
ยังต้องหมั่นฟูมฟักดูแล
พรวนดิน…พรมน้ำ…
ราดรดด้วยลมหายใจที่ยังเหลือ
ทีละวัน…ทีละวัน…

เสียงของท่านยังสะท้อนก้องในห้วงคำนึง
เป็นเสียงที่ตะโกนบอก…ด้วยชีวิต!