ผลัดใบ


ฝนสั่งฟ้าไปนานแล้ว
หน้าแล้งกรายมา

แดดจ้า ลมจัด
หมู่เมฆฤดูร้อนลอยอ้อยอิ่งอยู่บนฟ้าคราม

โพธิ์ทะเลเฒ่าปลิดใบจนเหลือแต่กิ่งก้านโกร๋นแกร็น
ระเบียงที่ฉันเคยอาศัยร่มเงานั่งห้อยขาเขียนโน่นเขียนนี่ยามบ่าย
บัดนี้มีเปลวแดดแผดผ่านลงมายึดครอง
ฉันได้แต่ถือแก้วกาแฟหลบในกระท่อม
มองค้อนผู้เฒ่า

แทบเป็นคนละต้นกับเมื่อเดือนก่อนที่ใบเขียวสะพรั่งโบกสะบัดเต็มต้น
แน่นหนาจนไอแดดไม่อาจเล็ดลอดผ่านลงมา
เหล่านกกาได้บินมาอาศัยเกาะกิ่งก้านหากิน

ฉันแหงนมอง

มีแต่ใบเหลืองกรอบติดก้านหรอมแหรม
ลมพัดมาทีส่ายสะบัดจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่
กิ่งแห้งแกร็นเหมือนตายซาก
หากไม่เป็นเพราะเราคุ้นเคยกันมานาน
ต้องคิดว่าเฒ่าโพธิ์ทะเลกำลังจะละสังขาร
แต่ฉันรู้จักผู้เฒ่าดี เราผ่านวันเวลามาด้วยกันหลายร้อนหลายหนาว

ผู้เฒ่ารู้ว่าหน้าแล้งมาเยือน
แกจะผลัดใบจนแห้งโกร๋นไม่สนใจใคร
กระทั่งลมฝนผ่านมาครั้งใหม่
จึงได้ผลิช่อใบเขียวชอุ่มอีกครา

โดยไม่สนใจว่าฉันจะไม่มีร่มเงายามบ่ายให้นั่งอ่านหนังสือ

“ทำอย่างนี้พวกนกกาที่มาอาศัยก็หายหมดน่ะสิ” ฉันเคยกังขา

“จะไปสนใจทำไมพวกนั้นก็แค่มาหากิน มีร่มเงาสมบูรณ์ มีเหยื่อมากก็กรูกันมา
วันนี้ไม่มีเหยื่อก็ไม่มา” ผู้เฒ่าเสียงแหบแห้งเหมือนกระหายน้ำ

“พูดเหมือนน้อยใจ”

“นกกระจิบยังอยู่” ผู้เฒ่าเอ่ย

“ใช่สิ! ก็รังมันอยู่นี่นี่นา” ครอบครัวนกกระจิบอาศัยบนโพธิ์ทะเลเฒ่ามาตั้งแต่ยังมีใบเขียวครึ้ม

“อืมม์… มันเกิดที่นี่มันไม่ทิ้งไปหรอก” ผู้เฒ่าขยับกิ่งคล้ายเกียจคร้าน

“โพธิ์ทะเลหนุ่ม ๆ ทางคันนาโน้นไม่เห็นเขาจะต้องผลัดใบอย่างนี้เลย” ฉันตั้งข้อสงสัย

“พวกมันยังหนุ่มยังต้องเรียนรู้อีกมาก” ผู้เฒ่าตอบเสียงราบเรียบ

“แสดงว่าสักวันเมื่อได้เรียนรู้พวกเขาก็ต้องผลัดใบงั้นสิ?”

“อืมม์…” ผู้เฒ่าส่งเสียงในลำคอ เงียบไปสักครู่เห็นฉันไม่ไต่ถาม ผู้เฒ่ากล่าวต่อ

“ธรรมชาติสอนให้เราปรับเปลี่ยนหมุนเวียนสัมพันธ์สอดคล้องกับสรรพสิ่งรอบกาย
ผู้ขัดขืนฝืนต้านมีแต่ทำลายตัวเอง ที่สุดแล้วล้วนพังพินาศ เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ”

“แต่ระเบียงร้อนออกอย่างนี้…”

“ปรับตัวเสียบ้าง” ผู้เฒ่าขัด

ฉันได้แต่มองค้อน
ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม

picture : hwm8.gyao.ne.jp